ทำลีนเพื่อลดคน?
หลาย ๆ โรงงานมีรูปแบบการผลิตแบบ Machine
- based หรือ Automation นั่นเอง
ใช้คนน้อยแล้ว เลยเข้าใจว่าเป็น Automation
แล้ว ก็ Lean แล้ว เพราะไม่มีคนแล้วนี่
ยังทำลีนได้อีกเหรอ? และเข้าใจไปว่า “I'm Lean already”
การที่เข้าใจว่า ไม่มีคนแล้ว ก็ลีนแล้ว แสดงว่า 'คน = Waste’ เหรอ?เมื่อทำลีน หมายถึง การลดคน ความเข้าใจผิด ๆ นี้ ทำให้ 'คนกลัวลีน' ทำแล้วเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ กันจะหายไป
ความจริงแล้ว ลีน (Lean) คือ
หลักการบริหารองค์กรให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการกำจัดความสูญเปล่า
(Waste) ออกจากทุกกระบวนการ
ความสูญเปล่า (Wastes) 9 ประการ
I = Information: ความสูญเปล่าจากข้อมูล
เยอะ ขาด ผิด ใช้งานไม่ได้
D = Defect: ความสูญเปล่าจากความบกพร่อง
งานเสีย งานไม่ได้คุณภาพ
O = Overproduction: ความสูญเปล่าจากการผลิตเกินปริมาณความต้องการ
W = Waiting: ความสูญเปล่าจาการรอคอย
Line unbalance
N = Not using people’s
talent: ความสูญเปล่าจากการไม่ใช่ทักษะของพนง.
T = Transportation: ความสูญเปล่าจากการขนส่งที่ไม่จำเป็น
I = Inventory: ความสูญเปล่าจากสินค้าคงที่เกินความจำเป็น
เผื่อไว้ MOQ ถูก
M = Motion: ความสูญเปล่าจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น
เอื้อม เอี้ยว เขย่ง งอ
E = Extra process: ความสูญเปล่าจากกระบวนการที่เกินความจำเป็น
ซ่อม ซ้ำ
ความสูญเปล่าทั้ง 9 ประการนี้ สามารถจำได้ง่าย
ๆ คือ iDowntime โดยนำเอาอักษรตัวแรกของแต่ละความสูญเปล่ามาเรียงต่อกัน
เมื่อพิจารณาดูความสูญเปล่าที่กล่าวมาแล้วก็ไม่เห็นจะมีคนอยู่ในความสูญเปล่า
เพราะลีนคือการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพด้วยการมองหาความสูญเปล่าแล้วกำจัดออกนั่นเอง
9 Wastes (ความสูญเปล่า 9 ประการ) |
ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นอัตโนมัติ (Automation) ก็ใช้ลีนได้ เพราะกระบวนการการผลิตด้วยเครื่องจักรก็ยังมี
Waste อยู่ เช่น
ระยะการเคลื่อนที่ของแขนกล รอบเวลาที่ไม่เท่ากันในแต่ละกระบวนการ
การเกิดความเสียหายต้องหยุดซ่อม การเปลี่ยนรุ่นผลิต การปรับแต่ง การผลิตของเสีย
เป็นต้น ณ ชั่วโมงนี้ทำให้คำว่า Lean 4.0 ก็มา Lean Automation เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร
ด้วยหลักการ TPM: Total Productive
Maintenance หรือการบำรุงรักษาแบบทวีผลโดยทุกคนมีส่วนร่วม ทำให้เครื่องจักรทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
โดยมีเป้าหมายเพื่อ Zero
Failure หรือ Zero Breakdown นั่นเอง
Total Productive Maintenance (TPM)
TPM คือ การบำรุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม
โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ความบกพร่องของเครื่องจักรอุปกรณ์เป็นศูนย์ หรือ Zero Failure ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 เสาหลักในการนำไปปฏิบัติประยุกต์ใช้ในองค์กร
- Focused Improvement การปรับปรุงเฉพาะเรื่อง ปรับปรุง OEE เน้นเป็น Project – Based Activity
- Autonomous Maintenance การบำรุงรักษาด้วยตนเอง การดูแลรักษาเครื่องจักรประจำวัน
- Planned Maintenance การบำรุงรักษาตามแผน ตามรอบเวลา
- Education & Training การศึกษาและฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะการทำงานและการบำรุงรักษา
- Early Management การออกแบบเครื่องจักรให้สามารถบำรุงรักษาได้ง่าย
- Quality Maintenance ระบบการบำรุงรักษาเพื่อคุณภาพ การนำหลัก Built – in Quality มาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงปัญหาด้านคุณภาพ
- Office TPM การบริหารงานในสำนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การจัดสรรพนักงานได้ตรงกับกำลังการผลิต
- Safety Healthy & Environment การบริหารระบบความปลอดภัยชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงเครื่องจักรให้ทำงานได้อย่างปลอดภัย
TPM House |
โตโยต้าประยุกต์ใช้ TPM เพื่อไม่ให้มี Downtime เกิดขึ้นระหว่างผลิตเลย
ด้วยการทำการบำรุงรักษาตามรอบเวลา หรือ PM
คือ
แบ่งเวลาการทำงานออกเป็น 3 ช่วง รวม 24 ชั่วโมง มีการผลิตช่วงละ 8 ชั่วโมง 2 ช่วง รวม 16 ชั่วโมง และ 8 ชั่วโมงที่เหลือ คือ
การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อใช้เวลาในการบำรุงรักษามากแล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความบกพร่องของเครื่องจักรในเวลาที่ไม่คาดคิดก็ลดลง ซึ่งเป็นการเพิ่ม
Scheduled downtime เพื่อลด Unscheduled downtime นั่นเอง
ทำไมต้องนำเครื่องจักรมาผลิตแทนที่พนง?
ปัญหาหลัก ๆ ของประเด็นนี้มาจาก
เมื่อองค์กรมีความต้องการกำลังการผลิตที่สูง หากเป็นสายการผลิตแบบเดิมโดยเป็นแบบ Manual และกึ่งอัตโนมัติ การเพิ่มกำลังการผลิตนั้นสามารถทำโดยการซื้อเครื่องมือเครื่องจักรมาเพิ่มและหาพนงมาเพิ่ม
ทำให้ต้องการพื้นที่การผลิตเพิ่มขึ้นอีก บางครั้งบางบริษัทไม่มีพื้นที่ที่เพื่มสายการผลิตได้อีกแล้ว
ครั้งจะลงทุนซื้อที่ผลิตเพิ่มก็แพงกว่าการซื้อเครื่องจักรอัตโนมัติเสียอีก
นอกจากนี้การหาพนง. ปฏิบัติมาเพิ่ม ไม่ง่ายอย่างที่คิด ตอนนี้ประเทศไทยก็ประสบปัญหาขาดแรงงานระดับนี้มาก
ดังนั้นการนำสายการผลิตอัตโนมัติมาใช้ก็ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ แต่การทำลีนไม่ใช่และไม่เกี่ยวกับการนำเครื่องจักรมาแทนที่พนง.
เพราะส่วนนี้เป็นเรื่องกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทต่างหาก
ทำลีนแล้ว จำนวนพนง. ที่ต้องการลดลงนั้นเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะลีนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ไม่มีองค์กรไหนที่มีวัฒนธรรมลีนแล้วไล่พนักงานออก
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้น แสดงว่าองค์กรนั้น ลีนไม่จริง ลีน จริง ๆ เห็นคนเป็นสินทรัพย์ ต้องรักษาและเพิ่มมูลค่า ถ้าคิดว่าคนคือหนี้สินเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็อยากปลดหนี้แน่นอน
คำถามที่ถูกถามเสมอในการทำลีน
หลังปรับปรุงสายการผลิตนึงแล้วจำนวนพนง.
ปฏิบัติการที่ต้องการของสายการผลิตแห่งนี้ลดลง 2 คน ในฐานะที่คุณต้องเลือกพนง. ออก คุณจะทำอย่างไร? เลือกคนที่งานแย่ที่สุด 2 คน หรือ ดีที่สุด 2 คน?
คำตอบที่มักได้จากหัวหน้างานคือ
80% จะเลือกคนที่งานแย่ที่สุด 2 คนออกไป แต่บริษัทที่ถือเป็นต้นแบบลีนอย่างโตโยต้า
จะตอบว่า เลือกคนที่สุด 2 คนออกไป
ให้ทำงานที่ยากขึ้น ท้าทาย หรือขึ้นเป็นระดับหัวหน้ากลุ่ม (Group/Team lead) ไปเลย
แล้วพัฒนาทักษะให้พนง. มีความสารถในการทำงานและการปรับปรุงเพิ่มขึ้นไปอีก
ดังนั้นแนวคิดลีนจริง ๆ คือ
การสร้างวัฒนธรรมให้พนักงานมีแนวคิดลีนเพื่อทำการปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำงานโดยมุ่งเน้นที่การขจัดความสูญเปล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ในการพัฒนากระบวนการทำงานอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะสร้างวัฒนธรรมลีนให้ยั่งยืนได้
แต่จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้มีแนวคิด ความรู้ ทักษะ
ให้มีความสามารถทำการปรับปรุงกระบวนการได้อย่างไม่สิ้นสุด นั่นเพื่อรักษาสภาพวัฒนธรรมลีนนั่นเอง
อย่างกรณีที่เกิดขึ้นข้างต้นที่ยกมาขึ้นอยู่ที่มุมมองขององค์กรเลยว่า
จะมองคนอย่างไร? หากลดจำนวนพนง.
ลงได้จะจัดการอย่างไร?
ดังนั้นก่อนจะเริ่มทำลีน ผู้นำการเปลี่ยนแปลงหรือผู้บริหาร มีความเข้าใจแนวคิดลีนอย่างถูกต้องแล้วหรือยัง?
No comments: